IS เป็นฟังก์ชันด้านตรรกะ ที่มีฟังก์ชันย่อยภายในหลายตัว โดยที่แต่ละตัวจะตรวจสอบค่าที่ระบุ และส่งกลับค่า TRUE หรือ FALSE โดยขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่ได้
ฟังก์ชัน IS
ฟังก์ชัน IS มีฟังก์ชันย่อยดังนี้
- ISBLANK(value) – value อ้างอิงไปยังเซลล์ว่าง
- ISERR(value) – value อ้างอิงไปยังค่าความผิดพลาดใดๆ ยกเว้น #N/A
- ISERROR(value) – value อ้างอิงไปยังค่าความผิดพลาดใดๆ (#N/A, #VALUE!, #REF!, #DIV/0!, #NUM!, #NAME? หรือ #NULL!)
- ISLOGICAL(value) – vlue อ้างอิงไปยังค่าตรรกะ
- ISNA(value) – value อ้างอิงไปยังค่าความผิดพลาด #N/A (ค่าที่ไม่พร้อมใช้งาน)
- ISNONTEXT(value) – value อ้างอิงไปยังรายการใดๆ ที่ไม่ได้เป็นข้อความ (โปรดทราบว่าฟังก์ชันนี้จะส่งกลับค่า TRUE ถ้าค่าอ้างอิงไปยังเซลล์ว่าง)
- ISNUMBER(value) – value อ้างอิงไปยังตัวเลข
- ISREF(value) – value อ้างอิงไปยังการอ้างอิง
- ISTEXT(value) – value อ้างอิงไปยังข้อความ
แต่ละฟังก์ชัน ใช้ value หรือ ค่า เป็นตัวแปรในไวยากรณ์สำหรับการทดสอบตรรกะทั้งสิ้น
ตัวอย่าง
ที่เซลล์ A1 เราใส่ข้อมูลว่า “Def Excel”
และเราเขียนสูตรดังนี้
=ISBLANK(A1)
ฟังก์ชันนี้จะตรวจสอบว่า เซลล์ A1 เป็นเซลล์ว่างใช่หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ใช่ ส่งผลลัพธ์เป็น False หรือ เท็จ – ไม่จริง
ลองดูสูตรอื่น ๆ จะเห็นว่าเป็น TRUE เพียงแค่
=ISREF(A1)
กับ
=ISTEXT(A1)
เท่านั้น
ข้อควรระวัง
เครื่องหมายอัญประกาศคู่ (“) จะระบุว่าเป็นข้อความ นั่นหมายความว่า 4 จะไม่เท่ากับ “4” และ True จะไม่เท่ากับ “True”
ถ้าเราใช้ ISNUMBER(4) จะได้ผลเป็น True แต่ ถ้าใช้ ISNUMBER(“4”) จะได้ผลลัพธ์เป็น False
ถ้าเราใช้ ISLOGICAL(True) จะได้ผลเป็น True แต่ ถ้าใช้ ISLOGICAL(“True”) จะได้ผลลัพธ์เป็น False
อ้างอิง: ข้อมูลจากเว็บไซต์ไมโครซอฟต์