ฟังก์ชัน TRUNC เป็นฟังก์ชันคณิตศาสตร์และตรีโกณมิติของ Excel โดยจะลบส่วนที่เป็นเศษส่วนของตัวเลขออก และส่งกลับตัวเลขจำนวนเต็ม
ใช้ได้ตั้งแต่ ไมโครซอฟต์ Excel 2007 เป็นต้นมา
(เพิ่มเติม…)Serenity, Music, and Coffee – a recipe for a peaceful day
ฟังก์ชันที่มีใน Excel
ฟังก์ชัน TRUNC เป็นฟังก์ชันคณิตศาสตร์และตรีโกณมิติของ Excel โดยจะลบส่วนที่เป็นเศษส่วนของตัวเลขออก และส่งกลับตัวเลขจำนวนเต็ม
ใช้ได้ตั้งแต่ ไมโครซอฟต์ Excel 2007 เป็นต้นมา
(เพิ่มเติม…)ฟังก์ชัน INT (หรือ integer) เป็นฟังก์ชันคณิตศาสตร์และตรีโกณมิติในเอ็กเซล ที่จะส่งกลับจำนวนเต็มของตัวเลขที่กำหนด โดยปัดเศษทศนิยมให้เป็นจำนวนเต็ม ซึ่งจะเป็นการปัดเศษลง
(เพิ่มเติม…)ฟังก์ชัน MIN ใน Excel เป็นฟังก์ชันเพื่อใช้หาค่า “ตัวเลข” ที่น้อยที่สุดในกลุ่ม ฟังก์ชันนี้เรียบง่าย ตรงไปตรงมา ไม่มีอะไรมาก คือหาค่าตัวเลขที่น้อยที่สุดในกลุ่มที่จะหานั่นแหละ
ความจริง ไม่จำเป็นต้องเขียนถึงฟังก์ชันนี้ก็ได้เพราะเขียนถึงฟังก์ชัน Max ไปเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างเหมือนกันหมด เพียงแค่กลับขั้วจากมากเป็นน้อยเท่านั้นเอง
แต่ด้วยตั้งใจไว้ว่าจะทำคำอธิบายฟังก์ชันแต่ละฟังก์ชัน ก็เลย เอาวะ เขียนซะหน่อยจะได้ครบ แต่ถ้าอ่านแล้วรู้สึกคุ้น ๆ ก็โปรดทราบตามที่แจ้งข้างบนนี่แหละจ้ะ
=MIN(ตัวเลข1, ตัวเลข2, ...)
เหมือน Max เลยจ้า การวางไวยากรณ์เหมือนกันทุกอย่าง
สมมติเรามีตัวเลข 3 ตัว คือ 1, 2, และ 3 เราสามารถหาค่าที่มากที่สุดได้ดังนี้
=MIN(1, 2, 3)
ผลลัพธ์ที่ได้คือ 1
ในการทำงานจริงเราอาจไม่ได้ใส่ตัวเลขลงไปตรงๆ แบบนี้ แต่อาจใส่ตัวเลขไว้ในเซลล์ต่าง ๆ เช่น ใส่ตัวเลข 1, 2, 3 ลงในคอลัมน์ A เริ่มจากเซลล์ A1 ถึง A10 เราสามารถหาค่าที่มากที่สุดของตัวเลขที่อยู่ในกลุ่มนี้ได้ดังนี้
=MIN(A1:A10)
ฟังก์ชัน MIN รับการป้อนค่าได้เพียง 255 ค่า
ถ้าค่าที่ใส่ลงไปเป็นอาร์เรย์หรือการอ้างอิง ระบบจะใช้เฉพาะตัวเลขในอาร์เรย์หรือการอ้างอิงนั้นเท่านั้น เซลล์ว่าง ค่าตรรกะ หรือข้อความในอาร์เรย์หรือการอ้างอิงจะถูกละเว้น
อาร์กิวเมนต์ที่เป็นค่าความผิดพลาดหรือข้อความที่ไม่สามารถแปลเป็นตัวเลขได้จะทำให้เกิดข้อผิดพลาด
ตัวอย่างที่ 1: หาค่าคะแนนสอบที่น้อยที่สุด
สมมติเรามีข้อมูลคะแนนสอบของนักเรียน 10 คน ดังนี้
เราจะหาอะไร
สมมติเราจะหาที่มากที่สุด จากคะแนนสอบทั้งหมด เราใส่ค่า
=Min(B2:D10)
ฟังก์ชัน MAX ใน Excel เป็นฟังก์ชันเพื่อใช้หาค่า “ตัวเลข” ที่มากที่สุดในกลุ่ม ฟังก์ชันนี้เรียบง่าย ตรงไปตรงมา ไม่มีอะไรมาก
=MAX(ตัวเลข1, ตัวเลข2, ...)
สมมติเรามีตัวเลข 3 ตัว คือ 1, 2, และ 3 เราสามารถหาค่าที่มากที่สุดได้ดังนี้
=MAX(1, 2, 3)
ผลลัพธ์ที่ได้คือ 3
ในการทำงานจริงเราอาจไม่ได้ใส่ตัวเลขลงไปตรงๆ แบบนี้ แต่อาจใส่ตัวเลขไว้ในเซลล์ต่าง ๆ เช่น ใส่ตัวเลข 1, 2, 3 ลงในคอลัมน์ A เริ่มจากเซลล์ A1 ถึง A10 เราสามารถหาค่าที่มากที่สุดของตัวเลขที่อยู่ในกลุ่มนี้ได้ดังนี้
=MAX(A1:A10)
ฟังก์ชันนี้รับการป้อนค่าได้เพียง 255 ค่า
เราจะใส่ค่าเป็นตัวเลขหรือชื่อช่วง อาร์เรย์ หรือการอ้างอิงที่มีตัวเลขก็ได้
ถ้าค่าที่ใส่ลงไปเป็นอาร์เรย์หรือการอ้างอิง ระบบจะใช้เฉพาะตัวเลขในอาร์เรย์หรือการอ้างอิงนั้นเท่านั้น เซลล์ว่าง ค่าตรรกะ หรือข้อความในอาร์เรย์หรือการอ้างอิงจะถูกละเว้น
หากใส่ค่าที่เป็นข้อความ หรือสูตรอ้างอิงที่ไม่สามารถแปลงเป็นตัวเลขได้จะส่งกลับเป็น ข้อผิดพลาด
ถ้าค่าที่ใช้เป็นอาร์เรย์หรือการอ้างอิง ระบบจะใช้เฉพาะตัวเลขในอาร์เรย์หรือการอ้างอิงนั้นเท่านั้น เซลล์ว่าง ค่าตรรกะ หรือข้อความในอาร์เรย์หรือการอ้างอิงจะถูกละเว้น
หากต้องการรวมค่าตรรกะและการแสดงข้อความของตัวเลขในการอ้างอิงเป็นส่วนหนึ่งของการคำนวณ ให้ใช้ฟังก์ชัน MAXA
สมมติเรามีข้อมูลคะแนนสอบของนักเรียน 10 คน ดังนี้
เราจะหาอะไร? สมมติเราจะหาที่มากที่สุด จากคะแนนสอบทั้งหมด เราใส่ค่า
=MAX(B2:D10)
ฟังก์ชันนี้ ดูเผิน ๆ เหมือนไม่มีอะไร แต่จริง ๆ จะช่วยให้เขียนสูตรสั้นลงได้
อย่างเช่น
ถ้าเราต้องการให้ส่งกลับค่า โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าค่านั้นมากกว่า 0 ให้ใช้ค่านั้น แต่ถ้าค่านั้นเป็นค่าคิดลบ ให้ใช้ค่า 0 แทน
ถ้าเราเขียนสูตรทั่วไป เราอาจจะใช้สูตรแบบนี้
=IF(ค่าที่ตรวจสอบ<0,0,ค่าที่ตรวจสอบ)
แต่ถ้าเราใช้ MAX สิ่งที่เราเขียนก็แค่
=MAX(0,ค่าที่ตรวจสอบ)
จะเห็นว่าเขียนง่ายและสั้นกว่า
อ้างอิง เว็บไมโครซอฟต์ MAX function
ฟังก์ชันอื่นที่เกี่ยวข้องและคล้ายกัน ฟังก์ชัน MIN
ฟังก์ชัน UNIQUE เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการค้นหาและส่งกลับค่าที่ไม่ซ้ำกันจากช่วงของข้อมูลใน Excel ฟังก์ชัน UNIQUE สามารถใช้ได้กับข้อมูลประเภทใดก็ได้ เช่น ข้อความ ตัวเลข วันที่ และเวลา
(เพิ่มเติม…)FREQUENCY เป็นฟังก์ชันทางสถิติใน Excel ใช้เพื่อแสดงความถี่ของข้อมูลภายในช่วงที่กำหนด และส่งกลับอาร์เรย์ของตัวเลขในแนวตั้ง
(เพิ่มเติม…)ฟังก์ชัน TRIM เป็นฟังก์ชันที่ช่วยลบช่องว่าง ในช่วงหัวและท้ายออกจากข้อความ ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาในการตัดแต่งข้อมูลเพื่อเตรียมตัวทำงานในขั้นต่อไปได้อย่างดี
Excel เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับการจัดระเบียบและวิเคราะห์ข้อมูล แต่บางครั้งข้อมูลที่คุณนำเข้าหรือป้อนอาจมีช่องว่างที่ไม่ต้องการ ซึ่งทำให้การเรียงลำดับหรือการกรองทำได้ยาก แต่ Excel มีฟังก์ชันง่ายๆ ช่วยลบช่องว่างที่ไม่ต้องการเหล่านี้ ฟังก์ชันนี้เรียกว่า TRIM
ถ้าจะให้แปลตรงตัวก็คือ “เล็ม” หรือตัดแต่ง และฟังก์ชั่นนี้ก็ทำหน้าที่ตรงตัวตามความหมายของมัน นั่นคือ “ตัดแต่ง” เพียงแต่เป็นการตัดช่องว่างที่อยู่หน้าหรือหลังข้อความออกไป
อันนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ที่เราเห็นเป็นช่องว่าง แต่ในคอมพิวเตอร์ จะถือว่าเป็น อักขระ ตัวหนึ่ง ช่องว่างก็คือ space charactor
สมมติว่าท่านทำงานโดยใช้ Excel ติดตามชื่อบริษัทลูกค้าและข้อมูลต่าง ๆ เมื่อถึงเวลาจัดเรียงลำดับเพื่อให้เห็นข้อมูลในภาพกว้าง หรือว่าทำ PivotTable ท่านอาจจะพบปัญหาว่า ชื่อลูกค้าบางรายไม่อยู่ในลำดับหรือกลุ่มที่ถูกต้อง ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่ามีช่องว่างเพิ่มเติมที่ด้านหน้าหรือด้านหลัง
สิ่งนี้เป็นปัญหา เมื่อทำงานด้วยการจัดเรียงข้อมูล หรือว่า จัดกลุ่ม หรือ PivotTable
แต่การลบช่องว่าง หรือ space นี้ ทำได้ง่ายดายเมื่อท่านใช้ฟังก์ชัน TRIM
การใช้ ฟังก์ชันนี้ มีไม่กี่ขั้นตอน
ขั้นตอนที่ 1: เลือกเซลล์ที่ท่านต้องการ
ขั้นตอนที่ 2: สร้างอีกคอลัมน์ เพื่อพิมพ์สูตรฟังก์ชัน
ไวยากรณ์ของฟังก์ชัน TRIM เป็นดังนี้:
=TRIM(ข้อความ)
อาร์กิวเมนต์ “ข้อความ” คือการอ้างอิงเซลล์หรือสตริงข้อความที่คุณต้องการตัดแต่ง
จากตัวอย่าง เราเพียงแค่เลือกคอลัมน์ที่มีชื่อลูกค้า สมมติว่า ชื่อลูกค้าอยู่ในคอลัมน์ C ในคอลัมน์ใหม่ ให้พิมพ์สูตร
=TRIM(C2)
ขั้นตอนที่ 3: กด Enter เพื่อให้ฟังก์ชันทำงาน Excel จะลบช่องว่างเพิ่มเติมที่จุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุดของชื่อลูกค้าแต่ละราย
คัดลอกสูตรลงไปเพื่อใช้กับชื่อลูกค้าทั้งหมดในคอลัมน์
เมื่อลบช่องว่างเพิ่มเติมทั้งหมดแล้ว สามารถใช้ชื่อลูกค้าที่ล้างข้อมูลเพื่อไปทำงานอื่น ๆ เช่น สรุปผลการทำงาน หรือวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป
อย่าลืมว่าฟังก์ชันนี้ จะลบเฉพาะช่องว่างด้านหน้าและด้านหลังเท่านั้น หากข้อความของท่านมีช่องว่างพิเศษระหว่างคำที่ต้องการลบออก อาจจะต้องใช้ผสมผสานกับฟังก์ชันอื่น เช่นฟังก์ชัน SUBSTITUTE เพื่อช่วยจัดการ
XOR หรือ Exclusive Or เป็นฟังก์ชัน Logical คล้ายคลึงกับการใช้ OR แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่แตกต่างกันบ้าง เล็กน้อย
XOR(เงื่อนไข1, [เงื่อนไข2],…)
ก็เหมือนกับ OR นั่นคือ ต้องระบุตรรกะ อย่างน้อย 1 ค่า และจะส่งลัพธ์การทดสอบออกมาเป็น True หรือ False เท่านั้น
(เราสามารถใช้เงื่อนไขได้ถึง 254 เงื่อนไข)
อาร์กิวเมนต์จะต้องสามารถหาค่าเป็นค่าตรรกะได้ เช่น TRUE หรือ FALSE หรืออยู่ใน อาร์เรย์ หรือการอ้างอิงที่มีค่าตรรกะ
ถ้าอาร์กิวเมนต์อาร์เรย์หรืออาร์กิวเมนต์การอ้างอิงเป็นเซลล์ข้อความหรือเซลล์ว่าง ค่าเหล่านั้นจะถูกละเว้นไป
ถ้าช่วงที่ระบุไม่มีค่าตรรกะ XOR จะส่งผลลัพธ์เป็น #VALUE! (ค่าผิดพลาด)
ถึงแม้ว่าจะมีความคล้ายคลึงกับ ฟังก์ชัน OR อย่างมาก แต่ในความเป็นจริง จะมีบางอย่างไม่เหมือนกัน จะยกตัวอย่างดังนี้
สำหรับ OR นั้น จะให้ผลลัพธ์เป็นจริง (True) แค่มี 1 เงื่อนไขที่เป็นจริงก็พอแล้ว
แต่ Exclusive Or นั้น ถ้าจำนวนเงื่อนไขที่เป็นจริง (True) เป็นเลขคี่ จะให้ผลลัพธ์เป็น จริง
ถ้าจำนวนเงื่อนไขที่เป็นจริง (True) เป็นเลขคู่ หรือ จะให้ผลลัพธ์เป็น เท็จ
อ้าว งง งงละสิ ตอนที่เห็นข้อกำหนดของฟังก์ชันนี้แรก ๆ ก็งงเหมือนกัน
ก่อนอื่น ดูภาพประกอบก่อน ตัวอย่างนี้สร้างเงื่อนไขมา 4 เงื่อนไข โดยให้ค่า True / False ตามที่เห็น
ดูที่ลำดับที่ 1 จากเงื่อนไข 4 เงื่อนไข เป็น True ทั้ง 4 เงื่อนไข ถ้าเป็นฟังก์ชัน OR จะเป็น True (เพราะสำหรับ OR แล้ว ถ้ามีเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งเป็น True ก็จะเป็น True ทั้งหมด ดังนั้น ในลำดับที่ 1 – 4 ผลลัพธ์ของ OR จะเป็น True ทั้งหมด เพราะมีเงื่อนไขที่เป็น True อย่างน้อย 1 เงื่อนไข
แต่ในลำดับที่ 1 ถ้าใช้ฟังก์ชัน XOR ก็จะได้ False เพราะว่า จำนวนเงื่อนไขที่เป็นจริง (True) เป็นเลขคู่ (คือ 4 เงื่อนไขเป็น True)เช่นเดียวกับลำดับที่ 3 ซึ่งมี 2 เงื่อนไขเป็น True จึงได้ผลลัพธ์เป็น False
ในขณะที่ ลำดับที่ 2 และ 4 มีเงื่อนไขที่เป็น True 3 และ 1 เงื่อนไข ซึ่งเป็นจำนวนเงื่อนไขเลขคี่ จึงให้ผลลัพธ์เป็น True
แล้วการวางลำดับ คู่ คี่ มีไว้ทำไม? แล้วใครจะเป็นคนใช้
นั่นสิ พอลองค้นหาใน google ก็เห็นว่าไปในทางการเขียนโปรแกรมเป็นส่วนใหญ่ เช่น
https://blog.loginradius.com/engineering/how-does-bitwise-xor-work/
แต่จะเทียบอย่างนี้
สมมติเหตุการณ์ทดสอบความมีสติของเรา ด้วยสถานการณ์ 3 อย่างคือ
ฝนตกหรือไม่ / เราอยู่ในบ้านหรือเปล่า / และ เรากางร่มหรือเปล่า
โดยสรุปผลเป็น “ถูกแล้ว” ถ้าเป็น True และ “บ้าเปล่า?” ถ้าเป็น False
ดูสถานการณ์แรก ฝนตก อยู่ในบ้าน เรากางร่ม ผลลัพธ์ก็จะเป็น “บ้าเปล่า?” ใครจะไปกางร่มในบ้านตอนฝนตก? จริงมั้ยครับ อันนี้ดู make sense หน่อย แต่จะใช้ฟังก์ชันไหนก็ไม่ต่างกัน
แต่มาดูอีก 2 สถานการณ์
ฝนตก เราอยู่ในบ้าน โดยไม่กางร่ม ผลลัพธ์ก็จะเป็น “ถูกแล้ว” เราจะไปกางร่มทำไม หรือ เราจะออกนอกบ้านทำไมให้เปียกเปล่า ๆ
หรือ
ฝนตก เราอยู่นอกบ้าน กางร่ม ผลลัพธ์ก็จะเป็น “ถูกแล้ว” ถึงจะฝนตก และ อยู่นอกบ้าน แต่อย่างน้อยก็มีร่มกันฝน
2 สถานการณ์นี้ ถ้าเราใช้ OR จะกลายเป็น “บ้าเปล่า?” เพราะ มีเงื่อนไขหนึ่งเป็น True
พอเป็นแบบนี้ การใช้ Exclusive Or ก็ดูสมเหตุผลขึ้นมาทันที
IS เป็นฟังก์ชันด้านตรรกะ ที่มีฟังก์ชันย่อยภายในหลายตัว โดยที่แต่ละตัวจะตรวจสอบค่าที่ระบุ และส่งกลับค่า TRUE หรือ FALSE โดยขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่ได้
ฟังก์ชัน IS มีฟังก์ชันย่อยดังนี้
แต่ละฟังก์ชัน ใช้ value หรือ ค่า เป็นตัวแปรในไวยากรณ์สำหรับการทดสอบตรรกะทั้งสิ้น
ที่เซลล์ A1 เราใส่ข้อมูลว่า “Def Excel”
และเราเขียนสูตรดังนี้
=ISBLANK(A1)
ฟังก์ชันนี้จะตรวจสอบว่า เซลล์ A1 เป็นเซลล์ว่างใช่หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ใช่ ส่งผลลัพธ์เป็น False หรือ เท็จ – ไม่จริง
ลองดูสูตรอื่น ๆ จะเห็นว่าเป็น TRUE เพียงแค่
=ISREF(A1)
กับ
=ISTEXT(A1)
เท่านั้น
เครื่องหมายอัญประกาศคู่ (“) จะระบุว่าเป็นข้อความ นั่นหมายความว่า 4 จะไม่เท่ากับ “4” และ True จะไม่เท่ากับ “True”
ถ้าเราใช้ ISNUMBER(4) จะได้ผลเป็น True แต่ ถ้าใช้ ISNUMBER(“4”) จะได้ผลลัพธ์เป็น False
ถ้าเราใช้ ISLOGICAL(True) จะได้ผลเป็น True แต่ ถ้าใช้ ISLOGICAL(“True”) จะได้ผลลัพธ์เป็น False
อ้างอิง: ข้อมูลจากเว็บไซต์ไมโครซอฟต์
ฟังก์ชัน NOT เป็น Logical Function อย่างหนึ่งที่จะใช้เพื่อส่งกลับค่า TRUE หรือ FALSE (จริงหรือเท็จ)ที่ตรงกันข้ามกันกลับมา
(เพิ่มเติม…)AND เป็น Logical Function อย่างหนึ่งที่จะใช้เพื่อส่งกลับค่า TRUE หรือ FALSE (จริงหรือเท็จ)กลับมา
(เพิ่มเติม…)ฟังก์ชัน OR เป็น Logical Function อย่างหนึ่งที่จะใช้เพื่อส่งกลับค่า TRUE หรือ FALSE จริงหรือเท็จ กลับมา
(เพิ่มเติม…)การใช้ IF นี้จะพูดถึงการใช้งานฟังก์ชันเปรียบเทียบตรรกะ ของอะไรสักอย่างที่ต้องการทดสอบ ซึ่งต้องเป็นเงื่อนไขที่ได้ผลลัพธ์เพียงแค่สองอย่างคือ จริง กับ เท็จ หรือ True กับ False เท่านั้น
(เพิ่มเติม…)COLUMN เป็นฟังก์ชันที่ไม่ซับซ้อน คือมีหน้าที่แค่จะแสดงลำดับเลขคอลัมน์ จาก การอ้างอิงตำแหน่ง
(เพิ่มเติม…)CHAR Function ใช้เพื่อส่งกลับอักขระที่ระบุด้วยตัวเลข ซึ่งบางครั้ง เวลาทำงานกับไฟล์จากแหล่งอื่น หรือจากซอฟต์แวร์ต่างประเภท เราอาจจะได้รับ รหัสตัวเลขที่ต้องมาถอดให้เป็นอักขระ โดยใช้ค่า ASCII เป็นตัวเลขอินพุตและให้อักขระที่กำหนดใน ASCII นั้นเป็นเอาต์พุต
(เพิ่มเติม…)