หมวดหมู่: Function

ฟังก์ชันที่มีใน Excel

  • ฟังก์ชัน TRUNC

    ฟังก์ชัน TRUNC

    ฟังก์ชัน TRUNC เป็นฟังก์ชันคณิตศาสตร์และตรีโกณมิติของ Excel โดยจะลบส่วนที่เป็นเศษส่วนของตัวเลขออก และส่งกลับตัวเลขจำนวนเต็ม 

    ใช้ได้ตั้งแต่ ไมโครซอฟต์ Excel 2007 เป็นต้นมา

    (เพิ่มเติม…)
  • ฟังก์ชัน INT

    ฟังก์ชัน INT

    ฟังก์ชัน INT (หรือ integer) เป็นฟังก์ชันคณิตศาสตร์และตรีโกณมิติในเอ็กเซล ที่จะส่งกลับจำนวนเต็มของตัวเลขที่กำหนด โดยปัดเศษทศนิยมให้เป็นจำนวนเต็ม ซึ่งจะเป็นการปัดเศษลง 

    (เพิ่มเติม…)
  • Min (Function)

    Min (Function)

    ฟังก์ชัน MIN ใน Excel เป็นฟังก์ชันเพื่อใช้หาค่า “ตัวเลข” ที่น้อยที่สุดในกลุ่ม ฟังก์ชันนี้เรียบง่าย ตรงไปตรงมา ไม่มีอะไรมาก คือหาค่าตัวเลขที่น้อยที่สุดในกลุ่มที่จะหานั่นแหละ

    ความจริง ไม่จำเป็นต้องเขียนถึงฟังก์ชันนี้ก็ได้เพราะเขียนถึงฟังก์ชัน Max ไปเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างเหมือนกันหมด เพียงแค่กลับขั้วจากมากเป็นน้อยเท่านั้นเอง

    แต่ด้วยตั้งใจไว้ว่าจะทำคำอธิบายฟังก์ชันแต่ละฟังก์ชัน ก็เลย เอาวะ เขียนซะหน่อยจะได้ครบ แต่ถ้าอ่านแล้วรู้สึกคุ้น ๆ ก็โปรดทราบตามที่แจ้งข้างบนนี่แหละจ้ะ

    ไวยากรณ์

    =MIN(ตัวเลข1, ตัวเลข2, ...)

    เหมือน Max เลยจ้า การวางไวยากรณ์เหมือนกันทุกอย่าง

    ตัวอย่าง

    สมมติเรามีตัวเลข 3 ตัว คือ 1, 2, และ 3 เราสามารถหาค่าที่มากที่สุดได้ดังนี้

    =MIN(1, 2, 3)

    ผลลัพธ์ที่ได้คือ 1

    การใช้งานจริง

    ในการทำงานจริงเราอาจไม่ได้ใส่ตัวเลขลงไปตรงๆ แบบนี้ แต่อาจใส่ตัวเลขไว้ในเซลล์ต่าง ๆ เช่น ใส่ตัวเลข 1, 2, 3 ลงในคอลัมน์ A เริ่มจากเซลล์ A1 ถึง A10 เราสามารถหาค่าที่มากที่สุดของตัวเลขที่อยู่ในกลุ่มนี้ได้ดังนี้

    =MIN(A1:A10)

    ข้อควรระวัง

    ฟังก์ชัน MIN รับการป้อนค่าได้เพียง 255 ค่า

    ถ้าค่าที่ใส่ลงไปเป็นอาร์เรย์หรือการอ้างอิง ระบบจะใช้เฉพาะตัวเลขในอาร์เรย์หรือการอ้างอิงนั้นเท่านั้น เซลล์ว่าง ค่าตรรกะ หรือข้อความในอาร์เรย์หรือการอ้างอิงจะถูกละเว้น

    อาร์กิวเมนต์ที่เป็นค่าความผิดพลาดหรือข้อความที่ไม่สามารถแปลเป็นตัวเลขได้จะทำให้เกิดข้อผิดพลาด

    ตัวอย่าง

    ตัวอย่างที่ 1: หาค่าคะแนนสอบที่น้อยที่สุด

    สมมติเรามีข้อมูลคะแนนสอบของนักเรียน 10 คน ดังนี้

    Min (Function)

    เราจะหาอะไร

    สมมติเราจะหาที่มากที่สุด จากคะแนนสอบทั้งหมด เราใส่ค่า

    =Min(B2:D10)

  • ฟังก์ชัน MAX

    ฟังก์ชัน MAX

    ฟังก์ชัน MAX ใน Excel เป็นฟังก์ชันเพื่อใช้หาค่า “ตัวเลข” ที่มากที่สุดในกลุ่ม ฟังก์ชันนี้เรียบง่าย ตรงไปตรงมา ไม่มีอะไรมาก 

    ฟังก์ชัน MAX

    =MAX(ตัวเลข1, ตัวเลข2, ...)

    สมมติเรามีตัวเลข 3 ตัว คือ 1, 2, และ 3 เราสามารถหาค่าที่มากที่สุดได้ดังนี้

    =MAX(1, 2, 3)

    ผลลัพธ์ที่ได้คือ 3

    ในการทำงานจริงเราอาจไม่ได้ใส่ตัวเลขลงไปตรงๆ แบบนี้ แต่อาจใส่ตัวเลขไว้ในเซลล์ต่าง ๆ เช่น ใส่ตัวเลข 1, 2, 3 ลงในคอลัมน์ A เริ่มจากเซลล์ A1 ถึง A10 เราสามารถหาค่าที่มากที่สุดของตัวเลขที่อยู่ในกลุ่มนี้ได้ดังนี้

    =MAX(A1:A10)

    ฟังก์ชัน MAX มีข้อจำกัดอะไร

    ฟังก์ชันนี้รับการป้อนค่าได้เพียง 255 ค่า

    เราจะใส่ค่าเป็นตัวเลขหรือชื่อช่วง อาร์เรย์ หรือการอ้างอิงที่มีตัวเลขก็ได้

    ถ้าค่าที่ใส่ลงไปเป็นอาร์เรย์หรือการอ้างอิง ระบบจะใช้เฉพาะตัวเลขในอาร์เรย์หรือการอ้างอิงนั้นเท่านั้น เซลล์ว่าง ค่าตรรกะ หรือข้อความในอาร์เรย์หรือการอ้างอิงจะถูกละเว้น

    หากใส่ค่าที่เป็นข้อความ หรือสูตรอ้างอิงที่ไม่สามารถแปลงเป็นตัวเลขได้จะส่งกลับเป็น ข้อผิดพลาด

    ถ้าค่าที่ใช้เป็นอาร์เรย์หรือการอ้างอิง ระบบจะใช้เฉพาะตัวเลขในอาร์เรย์หรือการอ้างอิงนั้นเท่านั้น เซลล์ว่าง ค่าตรรกะ หรือข้อความในอาร์เรย์หรือการอ้างอิงจะถูกละเว้น

    หากต้องการรวมค่าตรรกะและการแสดงข้อความของตัวเลขในการอ้างอิงเป็นส่วนหนึ่งของการคำนวณ ให้ใช้ฟังก์ชัน MAXA

    ตัวอย่าง

    สมมติเรามีข้อมูลคะแนนสอบของนักเรียน 10 คน ดังนี้

    เราจะหาอะไร? สมมติเราจะหาที่มากที่สุด จากคะแนนสอบทั้งหมด เราใส่ค่า

    =MAX(B2:D10)
    ฟังก์ชัน Max

    ข้อชวนคิด

    ฟังก์ชันนี้ ดูเผิน ๆ เหมือนไม่มีอะไร แต่จริง ๆ จะช่วยให้เขียนสูตรสั้นลงได้

    อย่างเช่น

    ถ้าเราต้องการให้ส่งกลับค่า โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าค่านั้นมากกว่า 0 ให้ใช้ค่านั้น แต่ถ้าค่านั้นเป็นค่าคิดลบ ให้ใช้ค่า 0 แทน

    ถ้าเราเขียนสูตรทั่วไป เราอาจจะใช้สูตรแบบนี้

    =IF(ค่าที่ตรวจสอบ<0,0,ค่าที่ตรวจสอบ)

    แต่ถ้าเราใช้ MAX สิ่งที่เราเขียนก็แค่

    =MAX(0,ค่าที่ตรวจสอบ)

    จะเห็นว่าเขียนง่ายและสั้นกว่า

    อ้างอิง เว็บไมโครซอฟต์ MAX function

    ฟังก์ชันอื่นที่เกี่ยวข้องและคล้ายกัน ฟังก์ชัน MIN

  • ฟังก์ชัน UNIQUE

    ฟังก์ชัน UNIQUE

    ฟังก์ชัน UNIQUE เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการค้นหาและส่งกลับค่าที่ไม่ซ้ำกันจากช่วงของข้อมูลใน Excel ฟังก์ชัน UNIQUE สามารถใช้ได้กับข้อมูลประเภทใดก็ได้ เช่น ข้อความ ตัวเลข วันที่ และเวลา

    (เพิ่มเติม…)
  • FREQUENCY (Function)

    FREQUENCY (Function)

    FREQUENCY เป็นฟังก์ชันทางสถิติใน Excel ใช้เพื่อแสดงความถี่ของข้อมูลภายในช่วงที่กำหนด และส่งกลับอาร์เรย์ของตัวเลขในแนวตั้ง 

    (เพิ่มเติม…)
  • ฟังก์ชัน TRIM

    ฟังก์ชัน TRIM

    ฟังก์ชัน TRIM เป็นฟังก์ชันที่ช่วยลบช่องว่าง ในช่วงหัวและท้ายออกจากข้อความ ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาในการตัดแต่งข้อมูลเพื่อเตรียมตัวทำงานในขั้นต่อไปได้อย่างดี

    Excel เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับการจัดระเบียบและวิเคราะห์ข้อมูล แต่บางครั้งข้อมูลที่คุณนำเข้าหรือป้อนอาจมีช่องว่างที่ไม่ต้องการ ซึ่งทำให้การเรียงลำดับหรือการกรองทำได้ยาก แต่ Excel มีฟังก์ชันง่ายๆ ช่วยลบช่องว่างที่ไม่ต้องการเหล่านี้ ฟังก์ชันนี้เรียกว่า TRIM

    TRIM คืออะไร?

    ถ้าจะให้แปลตรงตัวก็คือ “เล็ม” หรือตัดแต่ง และฟังก์ชั่นนี้ก็ทำหน้าที่ตรงตัวตามความหมายของมัน นั่นคือ “ตัดแต่ง” เพียงแต่เป็นการตัดช่องว่างที่อยู่หน้าหรือหลังข้อความออกไป

    อันนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ที่เราเห็นเป็นช่องว่าง แต่ในคอมพิวเตอร์ จะถือว่าเป็น อักขระ ตัวหนึ่ง ช่องว่างก็คือ space charactor

    CODE
    ช่องว่าง หรือ space charactor มีค่าลำดับ ascii = 32

    สมมติว่าท่านทำงานโดยใช้ Excel ติดตามชื่อบริษัทลูกค้าและข้อมูลต่าง ๆ เมื่อถึงเวลาจัดเรียงลำดับเพื่อให้เห็นข้อมูลในภาพกว้าง หรือว่าทำ PivotTable ท่านอาจจะพบปัญหาว่า ชื่อลูกค้าบางรายไม่อยู่ในลำดับหรือกลุ่มที่ถูกต้อง ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่ามีช่องว่างเพิ่มเติมที่ด้านหน้าหรือด้านหลัง

    สิ่งนี้เป็นปัญหา เมื่อทำงานด้วยการจัดเรียงข้อมูล หรือว่า จัดกลุ่ม หรือ PivotTable

    TRIM
    ตัวอย่างจะเห็นคำว่า Ling มาอยู่ด้านบนเมื่อมีการเรียงลำดับข้อมูล ซึ่งกลายเป็นอันดับแรก เพราะว่ามีช่องว่างอยู่ด้านหน้า

    แต่การลบช่องว่าง หรือ space นี้ ทำได้ง่ายดายเมื่อท่านใช้ฟังก์ชัน TRIM

    วิธีใช้ ฟังก์ชัน TRIM

    การใช้ ฟังก์ชันนี้ มีไม่กี่ขั้นตอน

    ขั้นตอนที่ 1: เลือกเซลล์ที่ท่านต้องการ

    ขั้นตอนที่ 2: สร้างอีกคอลัมน์ เพื่อพิมพ์สูตรฟังก์ชัน 

    ไวยากรณ์ของฟังก์ชัน TRIM เป็นดังนี้:

    =TRIM(ข้อความ)

    อาร์กิวเมนต์ “ข้อความ” คือการอ้างอิงเซลล์หรือสตริงข้อความที่คุณต้องการตัดแต่ง

    จากตัวอย่าง เราเพียงแค่เลือกคอลัมน์ที่มีชื่อลูกค้า สมมติว่า ชื่อลูกค้าอยู่ในคอลัมน์ C ในคอลัมน์ใหม่ ให้พิมพ์สูตร

    =TRIM(C2)

    ขั้นตอนที่ 3: กด Enter เพื่อให้ฟังก์ชันทำงาน Excel จะลบช่องว่างเพิ่มเติมที่จุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุดของชื่อลูกค้าแต่ละราย

    ฟังก์ชัน TRIM

    คัดลอกสูตรลงไปเพื่อใช้กับชื่อลูกค้าทั้งหมดในคอลัมน์

    เมื่อลบช่องว่างเพิ่มเติมทั้งหมดแล้ว สามารถใช้ชื่อลูกค้าที่ล้างข้อมูลเพื่อไปทำงานอื่น ๆ เช่น สรุปผลการทำงาน หรือวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป

    อย่าลืมว่าฟังก์ชันนี้ จะลบเฉพาะช่องว่างด้านหน้าและด้านหลังเท่านั้น หากข้อความของท่านมีช่องว่างพิเศษระหว่างคำที่ต้องการลบออก อาจจะต้องใช้ผสมผสานกับฟังก์ชันอื่น เช่นฟังก์ชัน SUBSTITUTE เพื่อช่วยจัดการ


    แหล่งอ้างอิงข้อมูลที่ไมโครซอฟต์

  • XOR (Function)

    XOR (Function)

    XOR หรือ Exclusive Or เป็นฟังก์ชัน Logical คล้ายคลึงกับการใช้ OR แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่แตกต่างกันบ้าง เล็กน้อย

    XOR

    XOR(เงื่อนไข1, [เงื่อนไข2],…)

    ก็เหมือนกับ OR นั่นคือ ต้องระบุตรรกะ อย่างน้อย 1 ค่า และจะส่งลัพธ์การทดสอบออกมาเป็น True หรือ False เท่านั้น

    (เราสามารถใช้เงื่อนไขได้ถึง 254 เงื่อนไข)

    อาร์กิวเมนต์จะต้องสามารถหาค่าเป็นค่าตรรกะได้ เช่น TRUE หรือ FALSE หรืออยู่ใน อาร์เรย์ หรือการอ้างอิงที่มีค่าตรรกะ

    ถ้าอาร์กิวเมนต์อาร์เรย์หรืออาร์กิวเมนต์การอ้างอิงเป็นเซลล์ข้อความหรือเซลล์ว่าง ค่าเหล่านั้นจะถูกละเว้นไป

    ถ้าช่วงที่ระบุไม่มีค่าตรรกะ XOR จะส่งผลลัพธ์เป็น #VALUE! (ค่าผิดพลาด)

    OR VS XOR

    ถึงแม้ว่าจะมีความคล้ายคลึงกับ ฟังก์ชัน OR อย่างมาก แต่ในความเป็นจริง จะมีบางอย่างไม่เหมือนกัน จะยกตัวอย่างดังนี้

    สำหรับ OR นั้น จะให้ผลลัพธ์เป็นจริง (True) แค่มี 1 เงื่อนไขที่เป็นจริงก็พอแล้ว

    แต่ Exclusive Or นั้น ถ้าจำนวนเงื่อนไขที่เป็นจริง (True) เป็นเลขคี่ จะให้ผลลัพธ์เป็น จริง

    ถ้าจำนวนเงื่อนไขที่เป็นจริง (True) เป็นเลขคู่ หรือ จะให้ผลลัพธ์เป็น เท็จ

    อ้าว งง งงละสิ ตอนที่เห็นข้อกำหนดของฟังก์ชันนี้แรก ๆ ก็งงเหมือนกัน

    ก่อนอื่น ดูภาพประกอบก่อน ตัวอย่างนี้สร้างเงื่อนไขมา 4 เงื่อนไข โดยให้ค่า True / False  ตามที่เห็น

    XOR
    ตัวอย่างความแตกต่างระหว่าง OR และ XOR

    ดูที่ลำดับที่ 1 จากเงื่อนไข 4 เงื่อนไข เป็น True ทั้ง 4 เงื่อนไข ถ้าเป็นฟังก์ชัน OR จะเป็น True (เพราะสำหรับ OR แล้ว ถ้ามีเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งเป็น True ก็จะเป็น True ทั้งหมด ดังนั้น ในลำดับที่ 1 – 4 ผลลัพธ์ของ OR จะเป็น True ทั้งหมด เพราะมีเงื่อนไขที่เป็น True อย่างน้อย 1 เงื่อนไข

    แต่ในลำดับที่ 1 ถ้าใช้ฟังก์ชัน XOR ก็จะได้ False เพราะว่า จำนวนเงื่อนไขที่เป็นจริง (True) เป็นเลขคู่ (คือ 4 เงื่อนไขเป็น True)เช่นเดียวกับลำดับที่ 3 ซึ่งมี 2 เงื่อนไขเป็น True จึงได้ผลลัพธ์เป็น False

    ในขณะที่ ลำดับที่ 2 และ 4 มีเงื่อนไขที่เป็น True 3 และ 1 เงื่อนไข ซึ่งเป็นจำนวนเงื่อนไขเลขคี่ จึงให้ผลลัพธ์เป็น True

    แล้วการวางลำดับ คู่ คี่ มีไว้ทำไม? แล้วใครจะเป็นคนใช้

    นั่นสิ พอลองค้นหาใน google ก็เห็นว่าไปในทางการเขียนโปรแกรมเป็นส่วนใหญ่ เช่น

    https://blog.loginradius.com/engineering/how-does-bitwise-xor-work/

    แต่จะเทียบอย่างนี้

    สมมติเหตุการณ์ทดสอบความมีสติของเรา ด้วยสถานการณ์ 3 อย่างคือ

    ฝนตกหรือไม่ / เราอยู่ในบ้านหรือเปล่า / และ เรากางร่มหรือเปล่า

    โดยสรุปผลเป็น “ถูกแล้ว” ถ้าเป็น True และ “บ้าเปล่า?” ถ้าเป็น False

    XOR

    ดูสถานการณ์แรก ฝนตก อยู่ในบ้าน เรากางร่ม ผลลัพธ์ก็จะเป็น “บ้าเปล่า?” ใครจะไปกางร่มในบ้านตอนฝนตก? จริงมั้ยครับ อันนี้ดู make sense หน่อย แต่จะใช้ฟังก์ชันไหนก็ไม่ต่างกัน

    แต่มาดูอีก 2 สถานการณ์

    ฝนตก เราอยู่ในบ้าน โดยไม่กางร่ม ผลลัพธ์ก็จะเป็น “ถูกแล้ว” เราจะไปกางร่มทำไม หรือ เราจะออกนอกบ้านทำไมให้เปียกเปล่า ๆ

    หรือ

    ฝนตก เราอยู่นอกบ้าน กางร่ม ผลลัพธ์ก็จะเป็น “ถูกแล้ว” ถึงจะฝนตก และ อยู่นอกบ้าน แต่อย่างน้อยก็มีร่มกันฝน

    2 สถานการณ์นี้ ถ้าเราใช้ OR จะกลายเป็น “บ้าเปล่า?” เพราะ มีเงื่อนไขหนึ่งเป็น True

    พอเป็นแบบนี้ การใช้ Exclusive Or ก็ดูสมเหตุผลขึ้นมาทันที

  • IS (Function)

    IS (Function)

    IS เป็นฟังก์ชันด้านตรรกะ ที่มีฟังก์ชันย่อยภายในหลายตัว โดยที่แต่ละตัวจะตรวจสอบค่าที่ระบุ และส่งกลับค่า TRUE หรือ FALSE โดยขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่ได้

    ฟังก์ชัน IS

    ฟังก์ชัน IS มีฟังก์ชันย่อยดังนี้

    • ISBLANK(value) – value อ้างอิงไปยังเซลล์ว่าง
    • ISERR(value) – value อ้างอิงไปยังค่าความผิดพลาดใดๆ ยกเว้น #N/A
    • ISERROR(value) – value อ้างอิงไปยังค่าความผิดพลาดใดๆ (#N/A, #VALUE!, #REF!, #DIV/0!, #NUM!, #NAME? หรือ #NULL!)
    • ISLOGICAL(value) – vlue อ้างอิงไปยังค่าตรรกะ
    • ISNA(value) – value อ้างอิงไปยังค่าความผิดพลาด #N/A (ค่าที่ไม่พร้อมใช้งาน)
    • ISNONTEXT(value) – value อ้างอิงไปยังรายการใดๆ ที่ไม่ได้เป็นข้อความ (โปรดทราบว่าฟังก์ชันนี้จะส่งกลับค่า TRUE ถ้าค่าอ้างอิงไปยังเซลล์ว่าง)
    • ISNUMBER(value) – value อ้างอิงไปยังตัวเลข
    • ISREF(value) – value อ้างอิงไปยังการอ้างอิง
    • ISTEXT(value) – value อ้างอิงไปยังข้อความ

    แต่ละฟังก์ชัน ใช้ value หรือ ค่า เป็นตัวแปรในไวยากรณ์สำหรับการทดสอบตรรกะทั้งสิ้น

    ตัวอย่าง

    ที่เซลล์ A1 เราใส่ข้อมูลว่า “Def Excel”

    และเราเขียนสูตรดังนี้

    =ISBLANK(A1)

    ฟังก์ชันนี้จะตรวจสอบว่า เซลล์ A1 เป็นเซลล์ว่างใช่หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ใช่ ส่งผลลัพธ์เป็น False หรือ เท็จ – ไม่จริง

    IS- function

    ลองดูสูตรอื่น ๆ จะเห็นว่าเป็น TRUE เพียงแค่

    =ISREF(A1)

    กับ

    =ISTEXT(A1)

    เท่านั้น

    ข้อควรระวัง

    เครื่องหมายอัญประกาศคู่ (“) จะระบุว่าเป็นข้อความ นั่นหมายความว่า 4 จะไม่เท่ากับ “4” และ True จะไม่เท่ากับ “True”

    IS Function

    ถ้าเราใช้ ISNUMBER(4) จะได้ผลเป็น True แต่ ถ้าใช้ ISNUMBER(“4”) จะได้ผลลัพธ์เป็น False

    ถ้าเราใช้ ISLOGICAL(True)  จะได้ผลเป็น True แต่ ถ้าใช้ ISLOGICAL(“True”)  จะได้ผลลัพธ์เป็น False

    อ้างอิง: ข้อมูลจากเว็บไซต์ไมโครซอฟต์

  • ฟังก์ชัน NOT

    ฟังก์ชัน NOT

    ฟังก์ชัน NOT เป็น Logical Function อย่างหนึ่งที่จะใช้เพื่อส่งกลับค่า TRUE หรือ FALSE (จริงหรือเท็จ)ที่ตรงกันข้ามกันกลับมา

    (เพิ่มเติม…)
  • AND (Function)

    AND (Function)

    AND เป็น Logical Function อย่างหนึ่งที่จะใช้เพื่อส่งกลับค่า TRUE หรือ FALSE (จริงหรือเท็จ)กลับมา

    (เพิ่มเติม…)
  • ฟังก์ชัน OR

    ฟังก์ชัน OR

    ฟังก์ชัน OR เป็น Logical Function อย่างหนึ่งที่จะใช้เพื่อส่งกลับค่า TRUE หรือ FALSE จริงหรือเท็จ กลับมา

    (เพิ่มเติม…)
  • การใช้ IF / IFS

    การใช้ IF / IFS

    การใช้ IF นี้จะพูดถึงการใช้งานฟังก์ชันเปรียบเทียบตรรกะ ของอะไรสักอย่างที่ต้องการทดสอบ ซึ่งต้องเป็นเงื่อนไขที่ได้ผลลัพธ์เพียงแค่สองอย่างคือ จริง กับ เท็จ หรือ True กับ False เท่านั้น

    (เพิ่มเติม…)
  • COLUMN (FUNCTION)

    COLUMN (FUNCTION)

    COLUMN เป็นฟังก์ชันที่ไม่ซับซ้อน คือมีหน้าที่แค่จะแสดงลำดับเลขคอลัมน์ จาก การอ้างอิงตำแหน่ง

    (เพิ่มเติม…)
  • CHAR Function

    CHAR Function

    CHAR Function ใช้เพื่อส่งกลับอักขระที่ระบุด้วยตัวเลข ซึ่งบางครั้ง เวลาทำงานกับไฟล์จากแหล่งอื่น หรือจากซอฟต์แวร์ต่างประเภท เราอาจจะได้รับ รหัสตัวเลขที่ต้องมาถอดให้เป็นอักขระ โดยใช้ค่า ASCII เป็นตัวเลขอินพุตและให้อักขระที่กำหนดใน ASCII นั้นเป็นเอาต์พุต

    (เพิ่มเติม…)